รีวิวหนัง ดิว ไปด้วยกันนะ
รีวิวหนัง ดิว ไปด้วยกันนะ
ณ ปางน้อยในปี 1997 ดิว (โอม-ภวัต) เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาจากเชียงใหม่ได้พบและก่อความสัมพันธ์กับ ภพ (นนท์-ศดานนท์)เด็กหนุ่มลูกครึ่งจีนในพื้นที่ แต่ด้วยยุคสมัยที่ยังต่อต้านความรักระหว่างเพศเดียวกันก็ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกัน
จนกระทั่ง 23 ปีต่อมา ภพ (เวียร์ ศุกลวัฒน์) ได้หวนกลับมาเป็นครูยังปางน้อยอีกครั้งโดยมี อร (ญารินดา บุนนาค)ภรรยาของเขาติดตามมาด้วย แต่ในใจเขาก็ยังคงอยากตามหาดิวเพื่อสะสางเรื่องราวที่ติดค้างกันในอดีต ส่วนที่โรงเรียน ภพ ก็ได้มีโอกาสพบกับ หลิว (ปั๋น-ดริสา) เด็กสาวหัวดีแต่ดื้อที่ครูใหญ่ฝากให้ดูแล แต่แล้วความใกล้ชิดระหว่าง ภพ กับ หลิว ก็ทำให้เกิดข้อครหาขึ้น ดิวไปด้วยกันนะ รีวิว
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่า เนื้อหา ดูหนังออนไลน์ ต่อไปนี้พยายามจะเขียนไม่ให้สปอยล์ที่สุด แต่สำหรับใครที่เคยผ่านตาผลงานต้นฉบับของเกาหลีอย่าง Bungee Jumping of Their Own (번지점프를 하다) หนังโรแมนติกปี 2001 ที่ขึ้นชื่อเรื่องสร้างความเหวอแตกระดับหลายริกเตอร์กับบทสรุปความสัมพันธ์ของคู่รักที่ถูกความตายพลัดพรากในครึ่งเรื่องแรกที่สร้างทั้งความซาบซึ้งและชวนฉงนกับฉากจบอันเป็นปริศนาที่ให้คนดูคิดเอาเองก็ย่อมพอจะเดาปลายทางที่ ดิวไปด้วยกันนะ pantip
จะเดินทางไปถึงได้ไม่ยากนัก แต่โดยส่วนตัวแล้ว แม้จะถูกระบุยี่ห้อว่าเป็นหนังรีเมก แต่กับ Bungee Jumping of Their Own ก็ถือเป็นโจทย์ยากระดับคณิตศาสตร์โอลิมปิกเลยทีเดียว ด้วยว่าหนังผสมผสานทั้งความแฟนตาซี ความเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไปจนถึงความเลื่อนไหลทางเพศ ที่หนังต้นฉบับถ่ายทอดไว้ได้น่าประทับใจและชวนคิดจนถึงทุกวันนี้
รีวิวหนัง ดิว ไปด้วยกันนะ หนังดี
แต่ในเมื่อมันมาอยู่ในมือของ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีรกุล ที่เล่นยกเครื่องปั้นหน้าหนังและตัดสลับเหตุการณ์ตลอดจนเปลี่ยนรายละเอียดจนแทบเหมือนหนังคนละม้วนแล้วผสมผสานเรื่องราวบาดแผลในช่วงเวลาแห่งการเติบโตที่ตนถนัดลงไปก็ย่อมไม่อาจคาดหวังอะไรที่น้อยไปกว่าผลงานที่ท้าทายความคิดคนดูเหมือนผลงานที่ผ่านมา ดิวไปด้วยกันนะ เรื่องย่อ
ความกล้าหาญแรกที่มะเดี่ยวเลือกตัดผ่ายกเครื่องบทหนังโดยหยิบยกจุดพีคที่คอหนังต้นฉบับซูฮกมาไว้ในครึ่งแรกแทน ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องแลกกับการทิ้งเซอร์ไพร์สที่ Bungee Jumping of Their Own เคยมอบให้คนดู
โดย ดูหนังฟรี เปลี่ยนรายละเอียดความรักคู่พระนางต้นฉบับในวัยเรียนมหาวิทยาลัย กลายมาเป็น ดิว กับ ภพ วัยรุ่น ม.ปลายในโรงเรียนชนบทยุค 90 ที่เพลงอัลเธอเนทีฟอย่าง ก่อน ของโมเดิร์นด็อก หรือ ดีเกินไป ของ สไมล์ บัฟฟาโล
ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนทางเลือกใหม่ ๆ ทั้งที่สังคมในสมัยนั้นยังใช้คำว่า เบี่ยงเบนทางเพศ และใช้กระบวนการทางทหารและแพทย์มาใช้บำบัดพฤติกรรมรักร่วมเพศอยู่เลย ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าการเซ็ตสถานการณ์ภายใต้การควบคุมของทหารเอย การจำกัดกรอบเรื่องเพศเอย เป็นกลไกของบทหนังที่พยายามบีบบังคับให้ตัวละครไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
รีวิวหนัง ดิว ไปด้วยกันนะ หนังน่าดู
และแม้เราจะไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าการจำกัดกรอบโลกทัศน์เรื่องเพศในหนังเป็นความจริงสักกี่มากน้อย แต่ในทางกลับกันมันก็ให้ภาพสังคมไทยที่ไร้ประชาธิปไตย หมดสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตตัวเองโดยเฉพาะกับเพศทางเลือกอย่าง LGBTQ และกล่าวอย่างไม่เกินจริงบทหนังของมะเดี่ยวยังละเอียดลออด้วยรายละเอียดด้านชาติพันธุ์ ความเชื่อ รีวิวหนังโรแมนติก
ที่ถูกส่งต่อผ่านระบบครอบครัวของทั้ง ดิว และ ภพ ที่ช่วยทำให้เรื่องราวมีมิติมากกว่าแค่เรื่อง เด็กผู้ชายสองคน มาจิ้นกันแบบผิวเผินและที่สำคัญประเด็นบาดแผลระหว่างทางเติบโตของวัยรุ่นที่มะเดี่ยวเคยปูไว้ตั้งแต่ รักแห่งสยาม เกรียนฟิกชัน หรือตอนแรกของ โฮม ความรัก ความสุข ความทรงจำ ก็ถูกนำมาเน้นย้ำผ่านเรื่องราวของดิวและภพจนสามารถเชื่อมต่อเป็นจักรวาลหนังวัยรุ่นของมะเดี่ยวได้อย่างไม่ขัดเขินเลยทีเดียว
ภพ (นนท์-ศดานนท์)เด็กหนุ่มลูกครึ่งจีนในพื้นที่ ดิว (โอม-ภวัต) เด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายโรงเรียนมาจากเชียงใหม่ได้พบและก่อความสัมพันธ์กับ ภพ (นนท์-ศดานนท์)เด็กหนุ่มลูกครึ่งจีนในพื้นที่ แต่แน่นอนล่ะว่าพอผ่าตัดและเปลี่ยนองค์ประกอบบทหนังใหม่ความท้าทายของมะเดี่ยวคือ
ครึ่งเรื่องหลัง ดิวไปด้วยกันนะ ต้นฉบับ ที่ต้องคิดว่าทำยังไงให้ยังคงเรื่องราวความสัมพันธ์ต้องห้ามแบบหนังเกาหลีต้นฉบับไว้ได้ ซึ่งต้องยอมรับนะครับว่าพอย้ายจุดพีคมาไว้ตอนต้นและทำท่าเหมือนจะพูดเรื่องความหลากหลายทางเพศไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่กลับถูกบังคับให้เดินจุดพลิกผันตามบทหนังต้นฉบับจนการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้การพูดเรื่อง LGBTQ
เรื่องราวความรักหลากหลายรูปแบบ
แผ่วบางและหมดพลังทั้งที่อุตส่าห์ปูไว้ตอนต้นเรื่องเสียน่าสนใจและหนักแน่นจนไม่อาจคาดหวังอะไรที่น้อยไปกว่าความดุเดือดได้ แต่เมื่อถึงครึ่งหลังและหนังจำต้องเดินไปในทางที่ถูกกำหนดเลยกลายเป็นพลังของหนังมันแผ่วตามไปด้วย และแน่นอนอย่างที่บอกไปแล้วว่า ความเหวอแตก รีวิวหนังโรแมนติกน่าดู
มันถูกยกไปกล่าวถึงในครึ่งเรื่องแรกแล้วเลยกลายเป็นว่าครึ่งหลังกับแนวทางที่หนังพยายามเดินไปให้เห็น “การซ้ำรอย” เพื่อนำไปสู่บทสรุปความรักของหัวใจดวงเดิมก็เลยดูไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก ยังดีที่ได้การแสดงอันหนักแน่นของ เวียร์ ศุกลวัฒน์ ญารินดา บุญนาค และ ปั๋น-ดริสา มาโอบอุ้มเรื่องราวภายใต้การกำกับที่ยังคงแม่นยำของมะเดี่ยวก็คงพอจะยกประโยชน์ให้จำเลยได้อยู่บ้าง
เช่นเคยที่หนัง ดิวไปด้วยกันนะ ตอนจบ ของมะเดี่ยวมักจะสร้างนักแสดงวัยรุ่นฝีมือฉกาจไว้ประดับวงการเสมอ สำหรับ ดิว..ไปด้วยกันนะ ก็ได้ นนท์-ศดานนท์ ที่เอาลุคแบดบอยมาทำให้ ภพ กลายเป็นหนุ่มในฝันของสาว ๆ ได้ไม่ยาก แถมบทดราม่าก็ยังแสดงได้ลื่นไหลทีเดียว รวมถึง ปั๋น ดริสา ที่บอกเลยว่างานเดบิวต์เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรที่น้อยไปกว่าบททดสอบโหดหินเลย
ทั้งต้องรับบทเด็กมัธยมปลายหัวดื้อที่รู้สึกแปลกแยกจนต้องคบกับผู้ชายถ่อย ๆ แถมเธอยังต้องแบกจุดพลิกผันของเรื่องราวและถ่ายทอดออกมาให้น่าเชื่อถือที่สุด ซึ่งจากผลงานที่เห็นด้วยตาเปล่าแล้วก็ต้องบอกว่าเธอสอบผ่านได้อย่างสวยงาม และถือว่ามะเดี่ยว
เคี่ยวกรำและเค้นเอาการแสดงที่ดีที่สุด ธรรมชาติที่สุดของเธอออกมาจนคนดูอดหลงรักเธอไม่ได้แน่นอน และไม่เพียงรุ่นเล็กเท่านั้นรุ่นใหญ่อย่าง อาภาศิริ นิติพน ก็ไม่ให้เสียชื่อ แม่แห่งชาติ เพราะเธอสามารถถ่ายทอดบทแม่ของดิวได้ชวนใจสลายมาก ๆ
ไปติดตามบทสรุปความรักของพวกเขากัน
ใครดูซีนสารภาพความในใจกับดิวแล้วไม่ร้องไห้ก็ถือว่าใจแข็งมาก ส่วน เวียร์ ศุกลวัฒน์ ก็สานต่อโอกาสในการพิสูจน์ฝีมือบนจอเงินถัดจากหนังมนิลา โดยเขาสามารถถ่ายทอดเรื่องราวที่ติดค้างในใจของ ภพ ที่เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีบาดแผลได้อย่างน่าชื่นชม
กล่าวอย่างเป็นกลางที่สุดแล้ว ดิว…ไปด้วยกันนะ ก็จัดเป็นงานหนังไทยคุณภาพในระดับที่น่าสนับสนุนนั่นแหละครับ เพียงแต่การต้องเดินตามร่องรอยของหนังต้นฉบับอาจทำให้หนังไม่สามารถพูดประเด็นหลักอย่างเสรีภาพของ LGBTQ ในไทยได้อย่างหนักแน่นเหมือนที่ปูไว้ตอนแรก
แต่เหนืออื่นใดมันคือหนังที่ดูแล้วทำงานกับหัวใจที่สุดเรื่องหนึ่งของปี ตั้งแต่ต้นเรื่องยันหนังจบขึ้นต้นเอนด์เครดิตว่าอุทิศให้แก่ นพดล ขันรัตน์ ผู้ถ่ายทอดช็อตโดรนสวย ๆ สื่อความหมายอันลึกซึ้งให้หนังแต่ไม่มีโอกาสได้ชมผลงานในวันนี้เนื่องจากเขาเสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อน
ดังนั้นช็อตโดรนต่าง ๆ ในหนังจึงเป็นเหมือนของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขาได้มอบให้ผู้กำกับและคนรักของเขาแทนคำขอบคุณที่อยู่ข้างกันตลอดเวลาที่เจ็บป่วย และคงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่ามันเป็นของขวัญที่งดงามที่สุดในโลก…
ย้อนกลับไป 23 ปีก่อน หนัง ดิวไปด้วยกันนะ สปอย เปิดฉากมาด้วยเมืองเล็กๆ ที่โคตรสงบอย่าง “ปางน้อย” ดิว นักเรียนชายที่เพิ่งย้ายมาใหม่ กำลังเดินทางไปโรงเรียนผ่านเมืองที่ไม่มีผู้คนสักคนเดียว และถูกทักโดย “ภพ” พระเอกของเรา ทั้งคู่เหมือนมีอะไรบางอย่างที่สื่อ
ถึงกันจนสนิทกันอย่างรวดเร็ว แต่ในสมัยนั้นความรักระหว่างเพศเดียวกันถือเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด และยอมรับไม่ได้ในสังคม ทำให้ทั้งคู่จำเป็นต้องจากกันในที่สุด แต่หลังจากนั้น 23 ปีให้หลัง โชคชะตาก็นำให้ ภพ และ ดิว ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แต่ไม่ใช้การกลับมาพบกันแบบธรรมดาๆ ทั่วไป และนั่นก็นำพาเรื่องราวทั้งหมดไปสู่ตอนจบที่อินดี้สุดๆ (เดี๋ยวจะมาบอกว่าทำไม)
สิ่งที่สะดุดตา และเหมือนเป็นลายเซ็นของพี่มะเดียวก็คงเป็นการหา โลเคชั่น, อุปกรณ์ย้อนยุค และการถ่ายภาพที่สวยมากๆ เอาจริงๆ นี่มันงานศิลปะชัดๆ มุมกล้องก็มีมุมแปลกใหม่ให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ และก็อย่างที่หลายๆ คนรู้ว่าต้นเรื่องมาของหนังก็เปิดประเด็น LGBTQ เลย
แต่นักแสดงนำ ดิวไปด้วยกันนะ นักแสดง ทุกคนถือว่าเล่นได้ดีนะ ดูมันค่อนข้างพอดีไม่เยอะไป ไม่น้อยไป ค่อนข้างดูเป็นชายที่ต้องแอบรักชายดี (ยกเว้นฉากนึงที่ ดิว ดันคอสเพลย์เป็นทาทายัง สมัยออกอัลบั้มแรก คือ…ผู้ชายจริงเขาจะแต่งตัวเลียนแบบนักร้องหญิงจริงหรอ? แกต้องแอ๊บนะดิว!) ก่อนดูผมแอบกังวลเรื่องนักแสดงเด็กอยู่เหมือนกัน แต่พอดูแล้วผมว่าผ่าน ทุกคนเลย
เลือกโจทย์ผิดชีวิตเปลี่ยน…ข้างบนคือสิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ แต่เอาจริงๆ นะหนังมีช่องโหว่เยอะมาก ผมว่าไม่มาสเตอร์พีซอย่างที่หวังเลย …หรือผมหวังมากไป? มาเริ่มกันที่ มีหลายฉากเลยที่ “น้องหลิว” หน้าเทามาก แบบลอยสุดๆ นี่ยังไม่คิดว่านางเป็นนักเรียน ม.4 ที่แต่งหน้าออกจะเข้มกว่า “พี่อร” เมียคนปัจจุบันของ “พี่ภพ” อีกนะ
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีอีกหลายซีนที่ไม่ควรจะมี การมีซีนเหล่านั้นเป็นต้นเหตุให้หนังพังมาก ผมไม่ค่อยอยากจะบอกหรอกเพราะกลัวว่ามันจะเป็นการสปอย แต่ที่แน่มี 2 ฉากที่ขัดใจสุดๆ และผมคิดว่าน่าจะพอบอกได้ คือฉากย้อนอดีตที่ดันทำให้เห็นว่า ภพ พระเอกของเรามีกลับมาที่ปางน้อยหลังจากที่หนีออกจากไปประมาณปีกว่า
ซึ่ง รีวิวหนังรักน่าสนใจ ต้นเรื่องดันทำให้เราคิดว่าหนีไป 23 ปีเลยแล้วค่อยกลับมาทีเดียว ฉากนี้แหละทำให้คิดเลยว่าแล้วยังไงต่อ? หลังจากกลับมาบ้านแล้วกลับไปกรุงเทพยังไง? ทำไม 23 ปีให้หลังพี่ชายภพในปัจจุบันถึงทักว่า “ทำธุระกิจเจ๊งเลยกลับมาบ้านสินะ”?
ทำไมห้องมันรกเหมือนไม่มีคนอยู่มานาน? (ไปดูแล้วจะรู้เอง ผมอธิบายมากจะไม่ดี) ฯลฯ คือฉากนี้มันต้องมีเพื่อบอกเรื่องราวบางอย่าง แต่เมื่อพี่มะเดียวเลือกจะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ควรจะใส่ฉากแบบอื่นที่ได้ผลลัพธ์เหมือนกันจะดีกว่า