มาวันนี้ Beauty and the Beast (2017) โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ก็เข้าฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว หากคุณยังคงตราตรึงใจกับการ์ตูนสุดคลาสสิคที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักระหว่างโฉมงานกับเจ้าชายอสูรของดิสนีย์อยู่ วันนี้เราจะมานำเสนอรีวิว หนังรักโรแมนติก 

ซึ่งได้นักแสดงนำหญิงตัวหลักมากฝีมือที่ทุกคนรู้จักเธอกันดีจากภาพยนตร์เรื่อง แฮรี่ พอตเตอร์ นั่นก็คือ “เอมม่า วัตต์สัน” มารับบทเป็นโฉมงามในเวอร์ชั่นนี้ด้วย จะสนุกสนานแค่ไหนไปดูรีวิวกันเลยค่ะ

ติดตามหนังดังหนังรักอัพเดทใหม่ได้ที่ช่องทาง ดูหนังออนไลน์  

จากตำนานครั้งเก่าสู่เรื่องราวขับขาน

รีวิวหนัง Beauty and the Beast

รีวิวหนัง Beauty and the Beast เรื่องย่อ

หนัง Beauty And The Beast (2017) ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของ “เจ้าชายอลัน”ผู้แสนเย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัวจึงถูกนางฟ้าสาปให้กลายเป็นอสูรและทุกอย่างก็ต้องคำสาปไปด้วย จะมีสิ่งเดียวก็คือ “รักแท้” ที่จะทำให้คำสาปเหล่านี้ถูกทำลายลงได้

จนกระทั่งเขาได้พบกับ “เบลล์” หญิงชาวบ้านที่ยอมเสียสละตัวเองมาอยู่กับเขาที่ปราสาทเพื่อแลกกับการที่อสูรจะปล่อยตัวพ่อเธอไป ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกันจากความเกลียดชังจึงเกิดเป็นความรักทีละนิดจนเต็มล้นหัวใจสองดวง

รีวิวหนัง Beauty and the Beast

ข้อมูลภาพยนต์

เป็นภาพยนตร์รีเมคจากเวอร์ชั่นการ์ตูนของดิสนีย์ปี 1991 ที่เคยได้รับรางวัล Best Motion Picture จากลูกโลกทองคำไปแล้ว

กำกับโดย : Bill Condon (ผู้กำกับเดียวกับ Twilight: Breaking Dawn ภาค 1 และ 2)

เขียนบทภาพยนตร์โดย : Stephen Chbosky และ Evan Spiliotopoulos

แสดงโดย : Dan Stevens (แดน สตีเว่นส์) เป็น เจ้าชายอสูร, Emma Watson (เอมม่า วัตสัน) รับบทเป็น Belle และ Luke Evans (ลุค อีแวนส์) รับบทเป็น แก๊สตอง

ภาพยนตร์เข้าฉายแล้วตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2560 ความยาว 129 นาที

เทียบกับเวอร์ชั่นการ์ตูน อันไหนดีกว่า?

เนื้อเรื่อง Beauty and the Beast ก็ยังคงเรื่องราวตามต้นฉบับจากแบบเวอร์ชันแอนิเมชันเมื่อปี 1991

กับเรื่องราวของ Belle หญิงสาวชาวบ้านและหนอนหนังสือเพียงคนเดียวของเมืองเล็กๆ ที่จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นตัวประกันให้กับ Beast แทนพ่อในปราสาทต้องคำสาป ที่ที่เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างมีชีวิตและพูดได้ (พูดมากซะด้วย)

และเมื่อวันเวลาผ่านไป ทั้งสองก็ตกหลุมรักกัน เข้าสูตรหนังรักโรแมนติกทั่วไปที่เนื้อเรื่องไม่ได้มีอะไรว้าวนัก

ขอออกตัวตรงนี้ก่อนเลยว่า ผู้รีวิวนั้นเป็นแฟนตัวยงของ Disney และเจ้าหญิง Belle ก็เป็นเจ้าหญิงองค์โปรดของผู้รีวิว

แน่นอนว่านั่นทำให้แอนิเมชัน โฉมงานกับเจ้าชายอสูร กลายเป็นแอนิเมชันเรื่องโปรด อันดับหนึ่งตลอดกาลในใจของผู้รีวิวอีกด้วย ทำให้ผู้รีวิวตั้งตารอการมาถึงของภาพยนตร์เรื่องนี้แบบนับถอยหลังตั้งแต่วันที่มีข่าวลือออกมาว่า

นักแสดงสาว Emma Watson จะมารับบทเป็น Belle เชื่อมั้ยล่ะคะว่าผู้รีวิวกรี๊ดออกมาเลยตอนที่ข่าวนี้ได้รับการยืนยัน เพราะจะมีใครเหมาะกับบทนี้ไปมากกว่า Emma กันล่ะ! (ดอกจันตัวหนาๆ ว่าเป็นความรู้สึกของผู้รีวิวแต่เพียงผู้เดียวนะคะ)

รีวิวหนัง Beauty and the Beast

หลังจากที่มีการตีความเรื่องราวของเจ้าหญิงองค์ก่อนๆ ใหม่ในแบบฉบับภาพยนตร์ live-action และออกมาค่อนข้างหน้าผิดหวังสำหรับผู้รีวิว ทำให้ผู้รีวิวดีใจมากที่ได้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีการดัดแปลงอะไรเลยค่ะ

เนื้อเรื่องและฉากสำคัญจากเวอร์ชันแอนิเมชันยังอยู่ครบ แถมยังสวยล้ำเข้าไปอีกด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะฉากเต้นรำที่เป็นฉากสำคัญของเรื่อง สวยจนผู้รีวิวน้ำตาคลอตอนดูเลยค่ะ

ผู้รีวิวเลยอยากขอบคุณทาง Disney มากๆ ที่ตัดสินใจไม่เปลี่ยนอะไรในแบบฉบับภาพยนตร์ live-action เพราะเนื้อเรื่องจากเวอร์ชันแอนิเมชันนั้นก็สมบูรณ์แบบมากๆ อยู่แล้ว ถ้าหากมีการตีความใหม่หรือดัดแปลงหรือตัดบางฉากออก ความประทับใจของผู้รีวิวคงจะลดลงแน่เลยค่ะ

เอมม่า วัตสัน เอาคะแนนความสวยไปเลย

เรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคงเป็นเรื่องของทีมนักแสดง ผู้รีวิวขอบอกเลยค่ะว่า ทีมงานได้คัดเลือกนักแสดงแต่ละคนมาได้เป๊ะมาก!

ทุกตัวละครนั้นราวกับหลุดมาจากเวอร์ชันแอนิเมชัน อย่างตัวละครของ Gaston นี่เหมือนกับหลุดออกมาจากเวอร์ชันแอนิเมชันอย่างไงอย่างงั้น

หรือแม้แต่ตัวละครสมทบอื่นๆ ก็มีหน้าตาคล้ายกับตัวละครในแอนิเมชันเปี๊ยบเลยค่ะ แบบที่ยังไม่ต้องแนะนำตัว แค่ตัวละครตัวนั้นปรากฏเข้ามาในฉาก เราก็รู้แล้วว่าคนนั้นเป็นใคร

แต่เหนือสิ่งอื่นใด การที่ทีมงานเลือก Emma Watson มารับบทเป็น Belle ก็คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดค่ะ เพราะ Emma ตัวจริงนั้นเหมือนกับ Belle มาก!

ทั้งความรักในการอ่านหนังสือ ไหวพริบ ความเฉลียวฉลาด ความสวย หากจะเรียกว่า Emma เป็น Belle ที่มีตัวตนอยู่จริงก็คงไม่แปลกนัก

โดยเฉพาะในหนัง เธอสวยสะกดมากๆ เลยค่ะ ผู้รีวิวละสายตาไปจากเธอไม่ได้เลย และผู้รีวิวก็รู้สึกดีใจมากที่ทีมงานเลือกแม่มดน้อยของเราคนนี้ให้มารับบทเป็น Belle

ในส่วนของคอสตูม ส่วนนี้ก็ถือว่าทีมงานทำการบ้านมาดีมากๆ เช่นกันค่ะ แน่นอนว่าเพราะเป็นภาพยนตร์แบบ live-action

ชุดของตัวละครก็คงจะไปเหมือนตัวการ์ตูนที่ถูกวาดขึ้นมาแบบเป๊ะๆ ได้ยาก แต่ก็ถือว่าคงเอกลักษณ์ของตัวละครนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นชุดสีฟ้าของ Belle ในฉากหมู่บ้าน ชุดเต้นรำสีเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของ โฉมงานกับเจ้าชายอสูร ก็ยังอยู่ครบ แค่นั้นผู้รีวิวก็พอใจมากๆ แล้วล่ะค่ะ

ความน่าสนใจของหนัง

ในส่วนของบทก็คงไม่ต้องพูดอะไรมาก ด้วยความที่ตัวบทนั้นมาจากแบบแอนิเมชัน ทำให้ความเร็วในการดำเนินเนื้อเรื่อง บทสนทนานั้นไม่มีความเอื่อยเลยค่ะ

และเป็นโชคดีของแบบฉบับหนังที่เวอร์ชันแอนิเมชันนั้นเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องมีการอารัมภบท ยืดเยื้อใดๆ ว่าใครเป็นใคร อะไรยังไง เนื้อเรื่องเลยดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและกระชับฉับไวมากๆ ค่ะ

แต่ในฉากไหนที่ต้องดึงอารมณ์ หรือปล่อยให้ผู้ชมได้ซึมซับความสวยงาม Disney ก็ยังคงทำได้ดีเช่นเคยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นฉากในเพลง Be My Guest ก็ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี Disney เอามากๆ นอกจากนั้นฉากอื่นๆ ที่ต้องทิ้งช่วงเวลาให้ผู้ชมได้ดื่มด่ำกัน Disney ก็รับผิดชอบในส่วนนั้นได้ดีเลยค่ะ

งานกำกับศิลป์ที่ใส่ใจในรายละเอียด

แต่นอกเหนือจากที่กล่าวมา โดยรวมเราค่อนข้างเฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ เราว่าหนังดำเนินเรื่องไม่ค่อยสนุก ช่วงร้องเพลงหลายเพลงก็น่าเบื่อ ฉากเต้นรำก็ไม่ได้ว้าว

(หรือเพราะเราเพิ่งดู La La Land มา?) เคมีระหว่างโฉมงามกับเจ้าชายอสูรเราก็ไม่ค่อยอิน (ยังงงอยู่ว่า Belle ไปรักอสูรตอนไหน

ใช่ตอนที่เห็นหนังสือเป็นล้านเล่มในห้องสมุดแล้วตาลุกวาวเหมือนผู้หญิงทั่วไปเห็นเงินเห็นทองหรือเปล่า) ตัวร้ายนี่ก็ร้ายแบบไร้มิติไม่มีเปลี่ยนแปลง

รีวิวหนัง Beauty and the Beast บทสรุป

ส่วนหนึ่งเราก็ผิดเองที่เราคาดหวังไว้มาก ก่อนเข้าไปดู เราคาดหวังการตีความใหม่หรือเล่าเรื่องมุมมองใหม่ไม่มากก็น้อยอย่างที่ดิสนีย์เคยทำได้ดีใน Cinderella กับ Maleficent

แต่พอเอาเข้าจริง โฉมงานกับเจ้าชายอสูร เขาไปทางเคารพต้นฉบับการ์ตูน 1991 (มาก) เพิ่มเติมแค่ประเด็นเกย์​นิดหน่อย (หน่อยแบบหน่อยมาก หน่อยแบบกลัวคนดูหัวโบราณบางกลุ่มจะด่าว่าหนังครอบครัวมีตัวละครเกย์ได้ไง)

และเพิ่มปูมหลังครอบครัวของโฉมงามกับเจ้าชายอสูรนิดหน่อย (นี่ก็นิดหน่อยชนิดไม่ต้องมีมาก็ได้ ไม่ค่อยมีความสำคัญกับเส้นเรื่องมากมายอะไรเลย)

เราว่าตัวละคร Belle มีความกล้า มีความ fearless นะ แต่คนทำหนังเรื่องนี้เองมากกว่าที่ยังไม่กล้ามากพอที่จะขยี้ประเด็นที่เขาเองก็อยากเล่น

เจ้าชายอสูร ฉบับใหม่ที่จะทำให้คุณหลงรักได้ไม่แพ้ฉบับเก่า

ย้ำอีกครั้งว่าเราผิดเองที่คาดหวัง เราผิดเองที่คิดมากไป เพราะสำหรับเรา เรื่อง โฉมงานกับเจ้าชายอสูร ก็สัญลักษณ์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย เช่น กุหลาบในเรื่อง

แต่ละบริบทก็มีความหมายต่าง ๆ นานา บ้างก็หมายถึงความรัก บ้างก็หมายถึงภัยอันตรายจากความรัก หรือกระจกวิเศษ ที่สะท้อนถึงความอ่อนแอหรือจุดอ่อนของผู้ใช้ แต่สุดท้ายหนังเขาไม่ขยี้ บางจุดก็แทบไม่ให้ความสำคัญไปเลย ก็เป็นพร็อพ ๆ หนึ่งของเรื่องไป ปล.และเรามีรีวิวหนังเเนววัยรุ่นโรเเมนติก คอมเมดี้ มาแนะนำ คือเรื่อง The Kissing Booth

ความรู้สึกหลังรับชม

นอกจากนี้ หนังยังมีประเด็นมากมายที่น่าเล่น แต่เขาไม่ค่อยเล่น สงสัยมัวแต่ไปใส่ความเป็นเฟมินิสต์และเน้นความแตกต่างกับชาวบ้านให้บท Belle จนไม่ได้เน้นประเด็น identity

ของพวกข้าทาสบริวารที่ถูก tranform เป็นสิ่งของเครื่องใช้ แต่ตรงนี้ก็ยังดีนะที่หนังพยายามใส่ความเป็นมนุษย์ให้ตัวละครเหล่านี้มากขึ้น แต่ส่วนหนึ่ง ณ ตรงนี้ก็ขอชื่นชมคนพากย์ด้วย

ส่วนประเด็น “อย่าตัดสินใครที่ภายนอก / อย่ารักใครที่รูปร่างหน้าตา” ที่เหมือนจะเป็นประเด็นที่เด่นที่สุดอันหนึ่งของเรื่อง หนังก็ทำออกมาได้คงมาตรฐานทั่วไป ซึ่งอันนี้ก็ไม่ได้ติดใจอะไร คิดซะว่าอย่างน้อยก็ยังเอาไปดูไปด้วยสอนเด็กไปด้วยได้อะไรได้

ฉากที่ทุกคนรอคอย

เรื่องเดียวที่ผู้รีวิวจะขอติก็คงเป็นเรื่องของ CG ค่ะ เพราะบางฉากเราจะเห็นเลยว่าตัวละครดูลอยๆ เด่นออกมาจากฉากหลังอย่างเห็นได้ชัด บางฉากมันเลยทำให้อารมณ์ของผู้รีวิวรู้สึกไม่อินเพราะมันเด่นซะจนแอบคิดว่า จริงๆ Disney น่าจะรับผิดชอบในเรื่องของ CG ได้ดีกว่านี้นะ

แต่โดยรวมแล้ว ภาพยนตร์ live-action โฉมงานกับเจ้าชายอสูร ก็ถือว่าภาพยนตร์ live-action ที่ประสบความสำเร็จอีกเรื่องหนึ่งของ Disney ที่ผู้รีวิวอยากให้ทุกคนลองไปดูกันดูค่ะ ผู้รีวิวรับรองเลยว่า ทุกคนจะต้องประทับใจกับฉากที่เราคุ้นเคย

เพลงที่เราคุ้นหูและภาพที่เราคุ้นตาอย่างแน่นอน เหมือนเราได้ย้อนกลับไปในปี 1991 ภายในเวลาแค่เกือบสองชั่วโมงของหนังเลยล่ะค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *